|
||||
บทที่ 7 เครื่องถ่ายเอกสาร ประวัติและวิวัฒนาการของเครื่องถ่ายเอกสาร (copying Machine)เครื่องถ่ายเอกสาร (copying Machine) วิวัฒนาการมาจากกล้องถ่ายภาพ ซึ่งผู้คิดค้นได้พยายามรบรวมขั้นตอนวิธีการถ่ายภาพมาดัดแปลงให้มาอยู่ในเครื่องเดียวกัน ในระยะแรก ๆ เครื่องถ่ายเอกสารจะมีลักษณะเป็นเครื่องทำสำเนาเอกสารขนาดเล็ก เรียกว่า Photocopy หรือ Photostat ถ่ายสำเนาได้ครั้งล่ะ 1 แผ่น เป็นระบบ Dual Spectrum และเป็นชนิดเติมน้ำยา วิธีการใช้งานค่อนข้างยุ่งยาก และใช้ถ่ายรูปทุกประการ โดยต้อนฉบับแต่ละแผ่นจะถ่ายสำเนาได้ครั้งละ 1 แผ่นเท่านั้น นอกจากนี้ จะต้องใช้กระดาษเครื่องผ่านแสงไฟเพื่อให้ภาพ Negative นำเข้าเครื่องผ่านน้ำยาอีกครั้งหนึ่งจึงลอกแผ่น Negative ออก ก็จะได้เอกสารที่ถ่ายสำเนาออกมา อย่างไรก็ตาม เครื่องถ่ายเอกสารแบบ Dual Spectrum นี้ประสิทธิภาพในการถ่ายสำเนาเอกสารไม่คมชัดนัก ต่อมาในปี ค.ศ. 1959 นักกฎหมายชาวอเมริกันชื่อ Chester Carlson ได้คิดค้นและพัฒนาระบบเครื่องถ่ายเอกสารจนสำเร็จ สามารถถ่ายเอกสารได้ครั้งละหลาย ๆ แผ่น โดยนำระบบ Copyflo มาใช้งาน ซึ่งใช้งานง่ายและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ในปัจจุบันเครื่องถ่ายเอกสารชนิดเติมน้ำยานี้ไม่ได้รับความนิยม และไม่มีการผลิตจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว
บันไดวิวัฒนาการของการจัดการเอกสาร เมื่อวาน คุยกับคนที่ทำงานใน ม.อ. ท่านหนึ่ง ได้ฟังคำบ่นเล็ก ๆ เรื่องการกรอกข้อมูลซ้ำซากที่มากเป็นพิเศษ (เป็นระบบเฉพาะหน่วยงาน เสริมจากที่คณะ/มหาวิทยาลัยทำ) รายละเอียด ขอข้ามไป โดยสรุปคือ ชีวิตนี้รันทด เพราะต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ ในฐานะที่มีงานวิจัยมาก เลยต้องกรอกซ้ำเยอะเป็นพิเศษ ให้เป็นเกียรติประวัติ เรื่องนี้ ทำให้ผมต้องมาคิดเล่น ๆ ถึงบันไดวิวัฒนาการของการจัดการเอกสาร (ไม่รู้มีกี่ขั้นเหมือนกันแฮะ) เพราะอยากรู้ว่า ตัวเองอยู่ขั้นไหน และกรณีนี้ เขาอยู่ขั้นไหน วิวัฒนาการในระดับ origin of the species ที่ระดับล่างสุด ก็คือ กรอกมือ ไต่บันไดขึ้นไปอีกขั้น ก็มีกระดาษคาร์บอนรองไว้ ไต่ขึ้นไปอีกขั้นนึง ก็เครื่องถ่ายเอกสาร ขึ้นไปอีกขั้นนึง มีลงคอมพ์ด้วย โอว์ !!!! (<--เช้า ๆ ยังง่วง ต้องทำเสียงตื่นเต้นซะหน่อย) ใช้โปรแกรมจัดการเอกสารเหวิด เป็นอาทิ สูงขึ้นไปอีกระดับ ก็เป็นฐานข้อมูลในเครื่องยืนเหงา ๆ โดดเดี่ยว (stand alone น่ะเอง) สูงขึ้นไปอีกระดับ ก็เป็นฐานข้อมูลในเว็บ จากจุดนี้ วิวัฒนาการเริ่มมีการแตกแขนงกิ่งก้านออกไป (เกิด speciation) คือ มีการคละกันของทุกระดับวิวัฒนาการที่มีมาก่อนหน้านั้น (ระบบที่เราใช้อยู่ ก็มาตกคลั่กกันอยู่ตรงนี้แหละ แต่ใครจะแยกไปกิ่งไหนเท่านั้นเอง) การคละดังกล่าว คงบอกได้ยาก ว่า ใครมีวิวัฒนาการสูงกว่าใคร เพราะคนเราล้วนมีอคติ ย่อมต้องชมว่าระบบที่ตัวเองใช้ดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว ยกเว้นคนที่คิดตรงข้าม คือ คิดว่าระบบที่ตัวเองใช้ แย่ที่สุดในโลก ดังนั้น เถียงเรื่องนี้ จะหาข้อสรุปยาก เว้นแต่หมัดหนักพอ แต่มีวิธีหนึ่ง ที่ตัดข้อถกเถียงได้ เพราะเป็นแนวคิดที่เป็นรูปธรรมที่สุด นั่นคือ ประเมินระดับความซ้ำซ้อนของการกรอก ระดับที่ 0 คือ ไม่มีใครต้องกรอกเลย ระดับที่ 1 กรอกเพียงครั้งเดียว ระดับที่ 2 กรอกสองครั้ง ... ระดับที่ n กรอก n ครั้ง
ระดับที่ 0 นี่มีนะครับ อย่างเช่น search engine หลาย ๆ ตัวก็ทำหน้าที่อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็น google scholar, pepesearch พวกนี้ ใช้ botware ไปคุ้ยหาข้อมูลในเว็บ และแคตาล็อกไว้อัติโนมัติ ผู้ใช้ไม่ต้องนั่งป้อนฐานข้อมูลให้ search engine แต่อย่างใด หรือยกตัวอย่างให้เห็นง่าย เช่น ผมไปติดต่อราชการ แค่มี id 13 หลักไปยืนยัน เขาสามารถดึงข้อมูลจากฐานทะเบียนราษฎร์ทั้งหมดออกมาให้โดยผมไม่ต้องกรอกซ้ำ นี่ก็ใช่ หรือสมมติไปเสียภาษี หากโครงสร้างรายรับเป็นแบบมาตรฐาน (=มนุษย์เงินเดือน) แค่ยื่นบัตรแล้วแถลงประเภทของการเสียภาษี แล้วกรมสรรพากรตัด transaction ที่เกี่ยวข้องกับเงินเดือนจากผู้จ่ายเงินที่เป็นองค์กร ไปคำนวณเป็นภาษีให้ โดยผมไม่ต้องกรอกรายละเอียดอีก นี่ก็เป็นสุดยอดของระบบเอกสารได้ เพราะมีความซ้ำซ้อนระดับ 0 เอ่อ...ที่ว่าไปแล้ว เป็นทฤษฎีนะครับ แต่ปฎิบัติน่ะ จะเป็นอีกเรื่อง ของจริง ยังมาไม่ถึง แต่ก็เริ่มมาบ้างแล้ว
ระดับที่ 1 นี่ โอ้ว์...ความฝันเลย เมื่อไหร่ระบบ DSS จะผสานทุกระดับเป็นเนื้อเดียวกันได้หนอ...
RSS feed, XML, ฯลฯ เกิดขึ้นในโลก ก็เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์เหล่านี้ คือ เพื่อให้การ recycle ข้อมูลไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น ทำได้ง่าย โดยไม่ต้องบังคับกรอกข้อมูลซ้ำซาก
ระดับที่ 2 คงเป็นระดับที่คนทั่วไปยังสามารถรักษาสติสัมปชัญญะได้อยู่เป็นปรกติ แม้จะเริ่มออกอาการบ้างเล็ก ๆ (พอดีว่ามีประสพการณ์ตรง...) ผมคิดว่าไม่แปลก หากองค์กรที่มีคุณภาพ จะอยู่ระดับ 2 แม้จะไม่น่าประทับใจ
ระดับ 3 หรือระดับ 4 นี่ ไม่กล้าพาดพิงถึงครับ (<-- ผมกลัวตาย !!!) ไม่พาดพิงว่า ใคร ที่ไหน ที่เข้าข่ายนี้ แต่ขอพาดพิงถึงในหลักการซะหน่อย คาดว่า หากไม่ร้อนท้อง คงเพราะไม่ได้กินปูน Cantor พิสูจน์ว่า เหนือ infinity ยังมี transfinity (เหนืออนันต์ ยังมี อภิอนันต์) แต่ในทางปฎิบัติของระบบเอกสาร แค่ 3 หรือ 4 ก็นับญาติกับ infinity ได้แล้ว หลักการก็คือ ถ้าเมื่อไหร่ องค์กรไหน ให้คนตระบี้ตระบันกรอกข้อมูลเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป องค์กรนั้น มีปัญหาซ่อนอยู่ในระดับขั้นที่หนักหนาร้ายแรงแล้ว แสดงถึงความเทอะทะแข็งทื่อ ไม่มีสัญญาณชีพเหลือ (rigor mortis) บ่งถึงการไร้ความสามารถของการบริหารจัดการด้าน IT อย่างสิ้นเชิง ความเห็นส่วนตัวของผมคือ การได้ชื่อว่าเป็นหน่วยงานที่ active ในเว็บมาก ยังไม่น่าภูมิใจเท่ากับการสามารถไปถึงจุดที่การประเมินระดับความซ้ำซ้อนของการกรอกข้อมูล อยู่ที่ 0 หรือ 1 ได้ สถิติใช้ประโยชน์จากเว็บมาก เป็นเรื่องของ ปริมาณ แต่การใช้ประโยชน์จากเว็บคุ้ม เป็นเรื่องของ คุณภาพ ปริมาณ เพิ่มได้โดยการตระบี้ตระบันทำ แต่คุณภาพ เป็นเรื่องของสมรรถนะของระบบคิด ระบบจัดการ
ความสำคัญของเครื่องถ่ายเอกสารเครื่องถ่ายเอกสารเป็นเครื่องใช้สำนักงานที่ได้สำหรับทำสำเนาเอกสารที่มีคามสำคัญและจำเป็นในการปฏิบัติงานในสำนักงานทุก ๆ ประเภท เนื่องจากสามารถทำสำเนาเอกสารได้เหมือนต้นฉบับทุกประการ ช่วยประหยัดเวลาในการพิมพ์เอกสารที่เหมือนและซ้ำ ๆ กันเป็นจำนวนมากได้อย่างสะดวกรวดเร็วนกอกจากนี้ ยังใช้ถ่ายเอกาสารที่เป็นรูปภาพ แผนที่ กราฟ ภาพลายเส้นได้เหมือนกับต้นฉบับจริงทุกประการ อีกทั้งขั้นตอนและวิธีการใช้งานง่ายมาก ไม่ต้องใช้เวลาในการเรียนหรือฝึกฝนมากนัก เพียงแต่แนะนำวิธีการใช้งานสำหรับรุ่นใดรุ่นหนึ่งในครั้งแรกเท่านั้น ผู้ปฏิบัติก็สามารถใช้งานได้ทันที ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในสำนักงานทุก ๆ แห่งจะต้องมีเครื่องถ่ายเอกสารอย่างน้อยหนึ่งเครื่องไว้ใช้งานในสำนักงาน
เครื่องถ่ายเอกสาร ผู้สร้างเครื่องถ่ายเอกสารคนแรก เชสเตอร์ คาร์ลสัน เป็นนักฟิสิกส์อเมริกัน ประดิษฐ์ขึ้นในนิวยอร์กเมื่อปี ค.ศ.1938 ออกใช้ ปี ค.ศ.1947 และเรียกวิธีการนี้ว่า ซีโรกราฟี xerography มาจากคำภาษากรีกแปลว่า การเขียนแห้ง ประเภทของเครื่องถ่ายเอกสาร มี2ประเภท คือ 1.เครื่องถ่ายเอกสารระบบแห้งใช้ผงหมึก (ผงคาร์บอนและเรซิน) ผสมกับสารที่ทำหน้า ที่เป็นตัวนำผงหมึกไปติดลูกกลิ้งได้แก่ผงเหล็กกล้า ผงแก้ว และเม็ดทรายหรือซิลิก้า เมื่อผงหมึกถูกดูดไปเกาะติดที่ลูกกลิ้งแล้ว สารตัวนำผงหมึกเหล่านี้จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ 2.เครื่องถ่ายเอกสารระบบเปียกใช้สารละลายไฮโดรคาร์บอนเป็นตัวนำหมึกไปติดลูกกลิ้งโดยกระดาษจะถูกทำให้ชื้นด้วยสารละลายไฮโดรคาร์บอน ก่อนที่จะนำหมึกไปติดที่ลูกกลิ้งจากนั้นความร้อนหรืออากาศจะเป็นตัวช่วยให้กระดาษแห้ง กระบวนการถ่ายเอกสาร
ประโยชน์ของเครื่องถ่ายเอกสาร การดูแลรักษา |
|
Online: 2 | Visits: 65,326 | Today: 12 | PageView/Month: 27 |